โควิด-19: ศบค. คาดเดือน ก.ย. ผู้ป่วยรายใหม่ถึง 4.5 หมื่นรายต่อวัน ด้าน “ไทยสร้างไทย” ฟ้องนายกฯ จัดการโควิดล้มเหลว

ที่มาของภาพ, Getty Images
ศูนย์บริหารสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันในเดือน ก.ย. 2564 ว่าอาจถึง 45,000 รายเนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์มีประสิทธิภาพเพียง 20%
วันนี้ (13 ส.ค.) นพ. ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. กล่าวว่าหากไม่มีมาตรการล็อกดาวน์เลย คาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันช่วงปลายเดือน ส.ค. ถึงต้นเดือน ก.ย. จะสูงถึง 60,000-70,000 รายโดยประมาณ แต่หากมีมาตรการล็อกดาวน์อย่างในขณะนี้ ซึ่งมีประสิทธิภาพราว 20% จะมีผู้ติดเชื้อประมาณ 45,000 รายต่อวันในเดือน ก.ย.
"ถ้าเราล็อกดาวน์ที่มีประสิทธิภาพประมาณ 20%...ก็จะยังมีการติดเชื้อเกือบ 45,000 (ราย) ประมาณต้นถึงกลางเดือน ก.ย."
โฆษก ศบค. กล่าวว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่พบ สอดคล้องกับจำนวนที่คาดการณ์ว่าจากการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ซึ่งมีประสิทธิภาพ 20% ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนที่สูง
นพ. ทวีศิลป์กล่าวว่า ศบค. คาดหวังว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพการล็อกดาวน์ให้ได้จาก 20% เป็น 25% ต่อเนื่องนาน 2 เดือน ร่วมกับการฉีดวัคซีนให้กลุ่มเป้าหมายเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ให้ต่ำกว่า 20,000 รายต่อวัน ซึ่งตัวเลขนี้จะทำให้อัตราการครองเตียงอยู่ในระดับที่ยังรับไหว และทำให้การเสียชีวิตลดลง
นพ.ทวีศิลป์ระบุว่าจำนวนผู้เสียชีวิต "มีทิศทางที่ดีขึ้น" กล่าวคือเริ่มเห็นสัญญาณลดลง ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์
สำหรับสถานการณ์การระบาดที่ ศบค. รายงานในวันนี้มีดังนี้
- ประเทศไทยมีผู้ป่วยโควิดสะสมสูงเป็นอันดับ 35 ของโลก คือ 863,189 ราย เป็นผู้ติดเชื้อสะสมจากการระบาดระลอกเดือน เม.ย. 2564 จำนวน 834,326 ราย
- ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา พบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 23,418 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 23,021 ราย ติดเชื้อในเรือนจำ 388 ราย และผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 9 ราย
- ผู้ป่วยที่กำลังรักษาตัวอยู่ 212,179 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยอาการหนัก 5,565 ราย และต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ 1,111 ราย
- จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ (5,140 ราย) สมุทรสาคร (1,936 ราย) สมุทรปราการ (1,847 ราย) ชลบุรี (1,408 ราย) และนนทบุรี (731 ราย)
- ในรอบ 24 ชม. มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 187 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ คือ 71 ราย อายุน้อยที่สุดคือ 12 ปี อายุมากสุดคือ 105 ปี และเป็นหญิงตั้งครรภ์ 2 ราย ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่เดือน ม.ค. 2563 อยู่ที่ 7,126 ราย คิดเป็นอัตราการเสียชีวิต 0.83% และหากนับเฉพาะระลอกเดือน เม.ย. 2564 อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 0.84%
- ข้อมูลการเข้ารับบริการวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่ 28 ก.พ. ถึงเวลา 18.00 น. ของวันที่ 12 ส.ค. มีการให้บริการสะสมไปแล้ว 22,508,659 โดส ซึ่งเป็นการฉีดเข็มแรกในประชาชน 17,239,593 ราย และมีผู้ได้รับวัคซีนเข็ม 3 สะสม 414,066 ราย โดยเมื่อวานนี้ (12 ส.ค.) ฉีดวัคซีนได้ 546,844 โดส
ผลการตรวจเชิงรุกในกรุงเทพฯ พบติดเชื้อ 1 ใน 10
นพ. ทวีศิลป์รายงานว่าจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ที่พบในกรุงเทพฯ ในรอบ 24 ชม. ทำ "นิวไฮ" ที่ 5,140 ราย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการค้นหาเชิงรุก โฆษก ศบค. ชี้ว่า เป็นผลมาจากการค้นหาเชิงรุกของทีมตรวจหาเชื้อที่เรียกว่า Comprehensive Covid-19 Response Team หรือ CCR Team ซึ่งพบผู้ติดเชื้อมากกว่า 10% ของผู้ที่เข้ารับการตรวจหาเชื้อทั้งหมด
นอกจากนี้การตรวจด้วยชุดตรวจแอนติเจนแบบรู้ผลเร็วหรือ ATK ในพื้นที่กรุงเทพฯ ในรอบ 24 ชม. ที่ผ่านมา ยังพบผู้ติดเชื้ออีก 1,523 ราย ซึ่งจะเข้าระบบการรักษาด้วยวิธีการกักตัวที่บ้านเป็นส่วนใหญ
"พูดง่าย ๆ คือในกรุงเทพฯ มีประมาณ 1 คน ใน 10 คนที่มีเชื้อ...ทุก ๆ ท่านที่สงสัยว่ามีความเสี่ยง ขอให้แยกตัวออกจากครอบครัว ออกจากชุมชน แล้วมารับการตรวจโดยเร็ว"
ที่มาของภาพ, Getty Images
นอกจากสถานการณ์การระบาดในกรุงเทพฯ แล้ว นพ.ทวีศิลป์ยังแสดงความกังวลถึงการติดโควิด-19 ในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ โดยให้ข้อมูลว่า นับตั้งแต่เกิดการระบาดระลอกเดือน เม.ย. 2564 พบหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อสะสมแล้ว 185 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิต 29 ราย คิดเป็นอัตราการเสียชีวิต 0.43%
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่าค่ากลางของอายุหญิงตั้งครรภ์ที่เสียชีวิตคือ 33 ปี เกือบ 30% ของผู้เสียชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ
โฆษก ศบค. แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์เข้ารับบริการวัคซีน เนื่องจากพบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อและเสียชีวิตจำนวน 14 ราย ยังไม่ได้รับวัคซีน
สธ. เปิดรับข้อมูลผู้ไม่เข้าเกณฑ์ได้รับวัคซีนไฟเซอร์
นพ. เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงยืนยันถึงความโปร่งใสในการกระจายวัคซีนไฟเซอร์ที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาบริจาคให้ไทยจำนวน 1.5 ล้านโดสว่า "ไม่มีการฉีดให้วีไอพี" พร้อมกับเชิญชวนประชาชนที่มีข้อสงสัยว่ามีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้บุคคลที่ไม่เข้าเกณฑ์ ให้ส่งข้อมูลมาที่กรมควบคุมโรคเพื่อตรวจสอบได้
"โปร่งใส ไม่ต้องกังวลว่าจะมี (วัคซีน) ล็อตไหนที่สูญหาย สามารถตรวจสอบได้" นพ. เฉวตสรรกล่าวและอธิบายเพิ่มเติมว่ากระทรวงสาธารณสุขได้จัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ให้บุคลากรทางการแพทย์ล็อตแรกจำนวน 700,000 โดส โดยมีการจัดส่งแบ่งเป็น 2 รอบ คือ
- รอบแรก จำนวน 442,800 โดส จัดส่งไปตั้งแต่วันที่ 4-5 ส.ค.
- รอบสอง จำนวน 257,200 โดส เริ่มทยอยส่งตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค. คาดถึงทุกพื้นที่ไม่เกิน 14 ส.ค.
ที่มาของภาพ, Thai News Pix
ขณะที่การจัดสรรให้กับผู้สูงอายุ ผู้อยู่ในเกณฑ์ 7 โรคเรื้อรัง และหญิงตั้งภรรภ์เกินกว่า 12 สัปดาห์นั้น มีการจัดส่งไปแล้ว 320,880 โดส ใน13 จังหวัด ซึ่งปลายเดือน ส.ค. จะจัดส่งเพิ่มเติม เหตุที่ต้องทยอยส่งก็เพื่อให้สะดวกแก่การจัดเก็บของสถานพยาบาล
นพ. เฉวตสรรยังได้รายงานข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทุกยี่ห้อในไทย จนถึงวันที่ 12 ส.ค. ดังนี้
- จำนวนวัคซีนที่ฉีดสะสม 22,508,659 โดส
- จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 1 คือ 17,239,593 ราย เข็มที่ 2 คือ 4,855,000 ราย เข็มที่ 3 คือ 414,066 ราย
- จำนวนวัคซีนที่ฉีดจำแนกตามยี่ห้อ ซิโนแวค 10,794,083 โดส แอสตราเซเนก้า 9,685,262 โดส ซิโนฟาร์ม 1,742,610 โดส และไฟเซอร์ 286,704 โดส
- มีชาวต่างชาติที่อยู่ในไทยได้รับวัคซีนแล้วกว่า 280,075 ราย คิดเป็น 5.72% ของจำนวนประชากรต่างชาติในไทยทั้งหมด ซึ่งส่วนหนึ่งก็ได้รับครบทั้ง 2 โดสแล้ว มากที่สุดเป็นการฉีดให้กับผู้มีสัญชาติเมียนมา กว่า 140,577 ราย ซึ่งอยู่ในพื้นที่การระบาด รองลงมาเป็นชาวจีน ที่ได้รับวัคซีนจากการบริจาคของรัฐบาลจีน
- มีรายงารการเสียชีวิตหลังจากฉีดวัคซีน 334 ราย สอบสวนและได้มีข้อสรุปแล้ว 278 ราย โดยทุกรายไม่ได้มีสาเหตุจากการฉีดวัคซีน ที่เหลือยังอยู่ระหว่างการสืบค้นข้อมูล รอผลการชันสูตรและอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ รวมทั้งกรณีของบุคลาการทางการแพทย์ เพศชาย ใน จ.พิจิตร ซึ่งเสียชีวิตหลังเข้ารับวัคซีนไฟเซอร์
"ไทยสร้างไทย" ฟ้องนายกฯ
อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับโควิด-19 วันนี้ (13 ส.ค.) พรรคไทยสร้างไทยส่งตัวแทนเข้ายื่นฟ้อง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และมาตรา 165 อันเนื่องมาจากบริหารงานผิดพลาดบกพร่องในการแก้ปัญหาการระบาดของโควิด-19
ที่มาของภาพ, Thai News Pix
ตัวแทนพรรคไทยสร้างไทยส่งเข้ายื่นฟ้อง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบอันเนื่องมาจากบริหารงานผิดพลาดบกพร่องในการแก้ปัญหาการระบาดของโควิด-19
มาตรา 157 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกหรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 165 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งซึ่งได้สั่งเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย ป้องกันหรือขัดขวางมิให้การเป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกหรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ
นับเป็นคดีที่ 2 ที่ พล.อ. ประยุทธ์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ถูกฟ้องร้องในข้อหาที่เกี่ยวกับการควบคุมโควิด-19 โดยก่อนหน้านี้ได้มีครอบครัวของนายกุลทรัพย์ วัฒนผล ผู้เสียชีวิตจากการติดโควิด-19 แต่ได้รับการรักษาล่าช้าในช่วงการระบาดระลอกเดือน เม.ย. 2564 ยื่นฟ้อง พล.อ. ประยุทธ์ และคณะกรรมการ ศบค. รวม 31 คน ต่อศาลปกครอง ฐานปล่อยปละละเลย ไม่ระงับยับยั้งการแพร่ระบาดพร้อมเรียกเงินค่าเสียหายจำนวน 4.53 ล้านบาท
ในเอกสารคำฟ้องระบุชื่อ น.ส. สุกัญญา แสงศรีอุทัยกับพวกรวม 8 คนเป็นโจทก์ และระบุชื่อ พล.อ. ประยุทธ์เป็นจำเลย นอกจากนี้ตัวแทนของพรรคยังได้นำรายชื่อประชาชนเกือบ 700,000 รายชื่อ ที่ร่วมลงชื่อสนับสนุนให้พรรคไทยสร้างไทยยื่นฟ้องรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์มาประกอบคำฟ้องด้วย
ที่มาของภาพ, Thai News Pix
ทั้งนี้ พรรคไทยสร้างไทย ซึ่งเพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือน ก.ค. 2564 และมีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์เป็นประธาน มีนายโภคิน พลกุลและนายวัฒนา เมืองสุขเป็นหนึ่งในแกนนำคนสำคัญ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กของพรรคเมื่อวันที่ 12 ส.ค. ระบุเหตุผลที่นำมาสู่การฟ้องร้อง พล.อ. ประยุทธ์ สรุปได้ดังนี้
- เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นโรคติดต่ออันตราย ประชาชนย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่อจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนรัฐมีหน้าที่ต้องควบคุมและป้องกันโรค รักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสุขภาพตามรัฐธรรมนูญมาตรา 47 และ 55 ตามลำดับ
- พรรคไทยสร้างไทยเห็นว่า ความล้มเหลวของการบริหารสถานการณ์โควิด-19 เกิดจากความบกพร่องอย่างร้ายแรงของนายกฯ ที่ปล่อยปละละเลยจนเกิดการแพร่ระบาดถึง 4 ระลอก รวมทั้งความผิดพลาดและบกพร่องในการบริหารจัดการวัคซีน ทำให้จํานวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนระบบสาธารณสุขปกติไม่สามารถรองรับผู้ป่วยจํานวนมากได้ ทำให้ผู้ป่วยบางรายไม่ได้รับการรักษาพยาบาลเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตในที่สาธารณะหรือบ้านพัก
- นายกฯ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. 2563 และขยายเวลาจนถึงวันที่ 30 ก.ย. 2564 โดยรวมอำนาจรักษาการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกฉบับไว้ที่ตนเองแต่เพียงผู้เดียว แต่กลับปล่อยปละละเลยจนเกิดความเสียหาย อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย
- โรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตรายที่รัฐมีหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการป้องกันและขจัดอันตรายให้ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อันเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 47 วรรคสาม แต่นายกฯ กลับการบริหารจัดการวัคซีนล่าช้า และไม่สั่งวัคซีนที่สามารถป้องกันโควิดได้จริงมาเป็นวัคซีนหลักของประเทศ
นายกฯ ระบุทำทุกอย่างด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรต้องกลัว
วันนี้ (13 ส.ค.) พล.อ. ประยุทธ์เป็นประธานการประชุมเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 และการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม
นายกฯ กล่าวว่าขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เริ่มดำเนินการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมสำหรับช่วงปลายปี ส่วนวัคซีนที่จัดหามาได้และมีกำหนดส่งมอบแล้วก็ให้ดำเนินการฉีดไปตามแผน โดยคาดว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 17 ส.ค. นี้จะมีการอนุมัติงบประมาณสำหรับวางมัดจำการซื้อวัคซีนโควิดของไฟเซอร์จำนวน 20 ล้านโดส ซึ่งคาดว่าล็อตแรกจะมาถึงในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน ก.ย. และหลังจากนี้จะมีการนำเสนอ ครม. เพื่อจัดซื้อวัคซีนไฟเซอรอีก 10 ล้านโดส
นายกฯ ระบุว่าการจัดหาวัคซีนโควิด "มีแนวโน้มที่ดี" ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่าสามารถจัดหาวัคซีนได้ตามเป้าหมาย 100 ล้านโดสภายในสิ้นปี 2564
ส่วนชุดตรวจ ATK ที่นำเข้าทั้งรัฐบาลและเอกชน และหลากหลายยี่ห้อ ต้องผ่านการตรวจสอบมาตรฐานของอย. โดยกระทรวงพาณิชย์จะได้รับไปดูแล ส่วนกรณีมีเอกชนนำเข้ามาจำหน่ายเอง ขอย้ำต้องทำให้ประชาชนเข้าใจ จึงจะแก้ปัญหาได้
นายกฯ กล่าวทิ้งท้ายว่าในการทำงานทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาการระบาดของโควิด-19 นั้นทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ตามระเบียบ กฎหมาย จึงไม่มีอะไรต้องกลัว และขอให้กำลังใจทุกคน ทุกระดับ เพราะรู้ว่าทุกคนทำงานหนัก