โควิด-19 : ศบค. คลายล็อก โรงหนัง-ฟิตเนส-สปา เริ่ม 1 ต.ค. พร้อมยืดเวลาเปิดห้าง-ลดเวลาเคอร์ฟิว

ที่มาของภาพ, Thai News Pix
ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) มีมติขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ออกไปอีก 2 เดือน หรือจนถึง 30 พ.ย. แต่ให้ผ่อนคลายกิจการ/กิจกรรมเพิ่มเติม 9 ประเภท ตั้งแต่ 1 ต.ค. นี้
ศบค. ยังมีมติให้ลดระยะเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน (เคอร์ฟิว) ในช่วงเวลา 22.00-04.00 น. จากเดิมเริ่มตั้งแต่ 21.00 น. และให้ขยายเวลาเปิดห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ตลาดสด ตลาดนัด ได้ถึง 21.00 น. จากเดิมให้ปิดก่อน 20.00 น. ทั้งนี้ในส่วนของห้างสรรสินค้า ให้เปิดโรงภาพยนตร์ สปา ห้องออกกำลังกาย ฟิตเนส สระว่ายน้ำ ได้ แต่ยังไม่ให้เปิดตู้เกม เครื่องเล่น ร้านเกม สวนสนุก สระน้ำ และห้องประชุม/จัดเลี้ยง
ขณะที่สนามกีฬากลางแจ้ง หรือในร่มที่อากาศถ่ายเทสะดวก ให้ยืดเวลาเปิดให้บริการได้ถึง 21.00 น. เช่นกัน จากเดิมให้ปิดภายใน 20.00 น. โดยจำกัดผู้เข้าร่วม หากเป็นกีฬาในร่ม จัดการแข่งขันได้โดยไม่มีผู้ชม หากเป็นกีฬากลางแจ้ง ให้มีผู้ชมได้ไม่เกิน 25% ของความจุสนาม และผู้ชมต้องได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ หรือมีผล ATK/RT-PCR เป็นลบ ภายใน 72 ชม.
การประชุมคณะกรรมการ ศบค. วันนี้ (27 ก.ย.) มี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะ ผอ.ศบค. เป็นประธาน ผ่านระบบการประชุมทางไกล
- ศบค. เคาะแผนซื้อวัคซีนไฟเซอร์-แอสตร้าเซนเนก้า 3.35 ล้านโดส จากสเปนและฮังการี
- "กรุงเทพแซนด์บ็อกซ์" พร้อมรับผู้มาเยือนจากต่างแดนหรือยัง อะไรยังเป็นข้อกังวล
- เสียงครวญจากร้านอาหาร "เขาบริหารจัดการโดยฟังเพียงเสียงตัวเอง โดยไม่ฟังเสียงประชาชน"
- เสียงจากผู้ปกครองที่ให้ลูกฉีดรับซีนจีน กับปมการฉีดเพื่อการวิจัยของ รจภ.
นพ. ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงว่า ศบค. มีมติขยายเวลาการประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ต่อไปอีก 2 เดือน (ตั้งแต่ 1 ต.ค.-30 พ.ย.) เพื่อรอความพร้อมของ พ.ร.ก.โรคติดต่อ ที่จะประกาศใช้ทดแทนต่อไป
การตัดสินใจต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ผ่อนคลายมาตรการเพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับปกติ มีขึ้นในวันที่ไทยพบผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ 10,288 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยสะสมนับแต่มีการระบาดเมื่อปี 2563 อยู่ที่ 1,571,926 ราย และมีผู้เสียชีวิต 101 ราย ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 16,369 คิดเป็น 1.04% ขณะที่การฉีดวัคซีนสะสมทำไปได้ 50,566,651 โดส
ที่มาของภาพ, สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
โฆษก ศบค. ยังเปิดเผยรายละเอียดของกิจการ/กิจกรรม ที่ ศบค. อนุมัติให้เปิดดำเนินการได้ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) หลังสั่งปิดมานาน กว่า 2 เดือน จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แต่ย้ำว่า "จำเป็นต้องเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการส่วนบุคคล ส่วนมาตรการทางสังคมยังคงเดิม" โดยให้เปิด 9 กิจการ/กิจกรรม จากที่สั่งปิดไว้ 10 กิจการ/กิจกรรม ตามข้อกำหนดฉบับที่ 28 ตั้งแต่เดือน ก.ค. ที่ผ่านมา มีรายละเอียด ดังนี้
9 กิจการ/กิจกรรม ที่ผ่อนคลายให้เปิด 1 ต.ค.
1. ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และวัยก่อนเรียน : ผ่านการพิจารณาโดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด
2. ห้องสมุดสาธารณะ ห้องสมุดเอกชน ห้องสมุดชุมชน : จำกัดจำนวน เช่น 1 คนต่อ 4 ตร.ม. หรือให้เข้าได้ไม่เกิน 75%, สวมหน้ากากตลอดเวลา, ห้ามรับประทานอาหาร
3. พิพิธภัณฑ์ แหล่งประวัติศาสตร์ โบราณสถาน : จำกัดจำนวน เช่น 1 คนต่อ 4 ตร.ม. หรือให้เข้าได้ไม่เกิน 75%, สวมหน้ากากตลอดเวลา, ห้ามรับประทานอาหาร
4. ศูนย์การเรียนรู้ ศูนย์วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม หอศิลป์ : จำกัดจำนวน เช่น 1 คนต่อ 4 ตร.ม. หรือให้เข้าได้ไม่เกิน 75%, สวมหน้ากากตลอดเวลา, ห้ามรับประทานอาหาร
5. ร้านทำเล็บ : นัดหมายล่วงหน้า
ที่มาของภาพ, Thai News Pix
Antigen test kit หรือ ATK คือชุดตรวจการติดเชื้อโควิด-19 เบื้องต้น โดยจะทราบผลภายในเวลาไม่เกิน 30 นาที
6. ร้านสัก : นัดหมายล่วงหน้า, ลูกค้าต้องได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ หรือมีผล ATK/RT-PCR เป็นลบ ภายใน 72 ชม.
7. สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ (นวด สปา) : นัดหมายล่วงหน้า, จำกัดเวลาไม่เกิน 2 ชม./คน, เปิดบริการที่ใช้น้ำเพื่อสุขภาพในกิจการได้ แต่ยังไม่เปิดบริการอบไอน้ำ, ลูกค้าต้องได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ หรือมีผล ATK/RT-PCR เป็นลบ ภายใน 72 ชม.
8. ธุรกิจโรงภาพยนตร์ ฉายภาพยนตร์ : ลดจำนวนผู้ชมเหลือ 50%, นั่งเว้นระยะห่าง แต่มาด้วยกันนั่งติดกันได้, สวมหน้ากากตลอดเวลา, ห้ามรับประทานอาหาร
9. การเล่นดนตรีในร้านอาหาร : จำกัดจำนวนนักดนตรีไม่เกิน 5 คน, นักดนตรีต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา, นักร้องถอดหน้ากากอนามัยได้เฉพาะเวลาร้องเพลง/แสดง, ห้ามสัมผัสคลุกคลีกับลูกค้า
แต่สำหรับกิจการ/กิจกรรมที่ 10 ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม หรือสถานที่จัดนิทรศการ ศบค. ยังไม่เปิดดำเนินการ ให้รอติดตามสถานการณ์ในช่วง 2-4 สัปดาห์
ลดเวลากักตัวผู้เดินทางจากต่างประเทศ
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นมติสำคัญของ ศบค. คือการปรับมาตรการการกักตัวสำหรับผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศทุกรูปแบบ ทุกประเภท รวมถึงผู้ที่ไดรับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรในพื้นที่กำหนดให้เป็นจังหวัดนำร่องท่องเที่ยว โดยเริ่มตั้งแต่ 1 ต.ค. นี้เช่นกัน แบ่งเป็น 2 เงื่อนไข
- ผู้มีเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบตามเกณฑ์มาแล้วอย่างน้อย 14 วัน ลดเวลากักตัวเหลือ 7 วัน จากเดิม 14 วัน และต้องตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR 2 ครั้ง ครั้งแรก วันที่ 0-1 ครั้งสอง วันที่ 6-7
- ผู้ไม่มีเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนควิด-19 หรือได้วัคซีนไม่ครบโดส : หากเดินทางทางอากาศและทางน้ำ ให้กักตัว 10 วัน เนื่องจากมีการตรวจหาเชื้อมาแล้ว และให้ตรวจเชื้อครั้งแรกที่มาถึงไทย และตรวจอีกครั้งวันที่ 8-9 แต่ถ้าเดินทางทางบก ให้กักตัว 14 วัน โดยมาถึงจะทำการตรวจเชื้อ และตรวจอีกครั้งวันที่ 12-13
ที่มาของภาพ, Getty Images
นอกจากนี้ ศบค. ยังเห็นชอบปรับมาตรการทำกิจกรรมสำหรับการเข้าพักที่โรงแรมกักตัวทางเลือก (Alternative Quarantine - AQ) โดยสามารถออกกำลังกายกลางแจ้ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน สั่งซื้อสินค้าและอาหารจากภายนอกได้ และสามารถประชุมสำหรับนักธุรกิจที่เข้ามาระยะสั้นได้ ส่วนสถานกักกันของรัฐ (State Quarantine - SQ) และสถานที่เอกเทศ (Organizational Quarantine - OQ) อนุญาตให้ทำกิจกรรมออกกำลังกายกลางแจ้ง สั่งซื้อสินค้าและอาหารจากภายนอกได้
เลื่อนเปิด "แซนด์บ็อกซ์" 5 จังหวัดรองรับท่องเที่ยว
เพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์ และเชียงใหม่ ศบค. ให้เลื่อนการเปิดพื้นที่แซนด์บ็อกซ์กลุ่มนี้ออกไปเริ่มตั้งแต่ 1 พ.ย. จากข้อเสนอเดิม 1 ต.ค. เพื่อให้สามารถฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้ครอบคลุมประชากรตามเป้าหมายเสียก่อน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- 1 ต.ค. พื้นที่นำร่อง 4 จังหวัดที่ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ ก็ยังเดินหน้าต่อไป ได้แก่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะยาว) พังงา (เขาหลัก เกาะยาว ) และกระบี่ (เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เลย์ คลองม่วง ทับแขก)
- 1 พ.ย. เริ่มเปิดพื้นที่ 10 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ กระบี่ (ทั้งจังหวัด) พังงา (ทั้งจังหวัด) ประจวบคีรีขันธ์ (หัวกิน หนองแก) เพชรบุรี (เทศบาลเมือง ชะอำ) ชลบุรี (พัทยา บางละมุง นาจอมเทียน บางเสร่) ระนอง (เกาะพะยาม) เชียงใหม่ (เมือง แม่ริม แม่แตง) และเลย (เชียงคาน)
- 1 ธ.ค. เริ่มเปิดพื้นที่เพิ่มอีก 20 จังหวัด
- 1 ม.ค. 2565 เพิ่มเปิดพื้นที่ 13 จังหวัดที่มีพรมแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน